ชีวิตและงาน ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล
ข้าพเจ้าเป็นโอรสของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 4 กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร) ต้นราชสกุลดิศกุล พระองค์ทรงได้รับฉายาว่า “พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีของ ประเทศไทย” ทรงเป็นพระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ฃึ่งครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2394ถึง พ.ศ. 2411กับเจ้าจอมมารดาชุ่ม (สกุลเดิม โรจนดิศ)
ข้าพเจ้าเกิดเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2466 ข้าพเจ้าเป็นบุตรคนที่ 6 ของมารดาคือ หม่อมเจ้าเจิม ดิศกุล ณ อยุธยา (สกุลเดิมสนธิรัตน) พระบิดาของข้าพเจ้าทรงมีโอรสและธิดา 32 องค์จากหม่อมหลายหม่อมและข้าพเจ้าเป็นคนที่ 31
มีคนเล่าให้ฟังว่าขณะที่มารดาข้าพเจ้าตั้งครรภ์อยู่นั้น เสด็จอาได้ตรัสกับมารดาของข้าพเจ้าว่า “หม่อมเจิม ลูกคนนี้ฉันขอเถอะ ผู้หญิงหรือผู้ชายก็เอาทั้งนั้น” เมื่อข้าพเจ้าอายุครบ 1 เดือนมารดาข้าพเจ้าจึงถวายข้าพเจ้าให้เสด็จอา เสด็จอาท่านทรงเลี้ยงข้าพเจ้าคู่กับเด็กชายอีกคนหนึ่งชื่อ จรี อมาตยกุล แต่เสด็จอาก็ทรงเลี้ยงเสมอกัน ในความรู้สึกของข้าพเจ้าขณะนั้นคิดว่าเสด็จอาทรงรักจรีมากกว่าข้าพเจ้า เพราะเขาซนและช่างพูดกว่า ส่วนข้าพเจ้าเป็นคนเฉยๆ อย่างไรก็ดีจรีเป็นคนนิสัยดี แม้ว่าเสด็จอาจะทรงรักเขามากกว่าข้าพเจ้า แต่เขาก็ไม่เคยทับถมข้าพเจ้าเลย แม้ขณะที่เสด็จอาประทานอะไรให้ก็ตาม เขาจะต้องทูลถามว่าทำไมชาย (เขาเรียกข้าพเจ้าว่าชาย) จึงไม่ได้บ้างล่ะ ความรู้สึกของข้าพเจ้าในระยะแรก เสด็จอาท่านไม่ทรงรักข้าพเจ้าเท่าไร แต่คงจะสงสารมากกว่า เพราะเป็นคนไม่มีปากมีเสียง จะมาเริ่มรักก็เมื่อตอนเสด็จอาใกล้สิ้นพระชนม์ เพราะข้าพเจ้าเป็นคนเรียบร้อยผิดกับจรี ซึ่งขณะนั้นค่อนข้างเกเรนิดหน่อย ซึ่งเสด็จอาไม่ค่อยพอพระทัยนัก
ข้าพเจ้าอยู่กับเสด็จอาจนข้าพเจ้าอายุได้ 11 ขวบ เสด็จอาจึงสิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษาได้ 45 พรรษาใน พ.ศ. 2477 และข้าพเจ้าได้กลับมาอยู่กับมารดาและพี่ๆ ที่วังวรดิศ ขณะนั้นพระบิดาของข้าพเจ้าได้เสด็จไปประทับอยู่ยังเกาะปีนังแล้ว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 จากระบอบสมบรูณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ก่อนหน้านั้นพระบิดาข้าพเจ้าได้ทรงดำรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรี หลังจากได้ทรงรับราชการมานานทั้งในรัชกาลที่ 5, 6 และ 7 ได้เสด็จกลับมายังประเทศไทยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2485 และสิ้นพระชนม์ที่วังวรดิศ กรุงเทพฯ เมื่อพระชนม์ได้ 81 พรรษาในปีต่อมา
เสด็จอาทรงส่งข้าพเจ้าไปเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนขัตติยานีผดุง ซึ่งเป็นโรงเรียนหญิงที่เสด็จอาทรงก่อตั้งขึ้นเอง และต่อจากนั้นจึงทรงส่งเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ แม้เสด็จอาจะสิ้นพระชนม์เมื่อข้าพเจ้าเรียนอยู่เพียงชั้นมัธยมปีที่ 3 แต่ข้าพเจ้าก็ได้รับมรดกจากพระองค์ท่านบ้าง จึงสามารถส่งตัวเองเรียนต่อ ณ โรงเรียนนั้นมาจนจบชั้นมัธยมปีที่ 6 ในระหว่างนั้นข้าพเจ้าจำได้ว่าข้าพเจ้าชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์มาก ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด อาจเป็นเพราะว่าข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่าพระบิดาของข้าพเจ้าทรงเชี่ยวชาญในวิชาประวัติศาสตร์ไทยมาก หรือข้าพเจ้าอาจมีเลือดของพระองค์อยู่ในตัวบ้างโดยไม่รู้ตัวก็ได้
หลังจากข้าพเจ้าเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ 6 จากวชิราวุธวิทยาลัยแล้ว ก็ได้เข้าสอบเพื่อจะเรียนในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรุ่นที่ 1 ในพ.ศ. 2481 เป็นเวลา 2 ปี สำหรับการสอบเข้าในครั้งนั้นข้าพเจ้าสอบได้เป็นที่หนึ่ง โดยสมัครเข้าเรียนอักษรศาสตร์ ได้คะแนนเท่ากับนักเรียนอีกผู้หนึ่งซึ่งสอบเข้าทางด้านวิทยาศาสตร์ แต่คะแนนที่ข้าพเจ้าได้ดีที่สุดก็ได้มาจากทางด้านคำนวณ เพราะเมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยในปีสุดท้าย คือมัธยมปีที่ 6 นั้น ข้าพเจ้าได้เลื่อนขึ้นไปเรียนวิชาคำนวณและภาษาอังกฤษในชั้นมัธยมปีที่ 7 แล้ว
หลังจากข้าพเจ้าได้เข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมอุดมฯแล้ว ข้าพเจ้าได้ทิ้งวิชาคำนวณ โดยหันไปเรียนวิชาฝรั่งเศส ซึ่งไม่เคยเรียนมาแต่ก่อนแทน ต่อจากนั้นข้าพเจ้าจึงสอบผ่านเข้าไปเรียนต่อในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน พ.ศ. 2483 ในระหว่างที่ข้าพเจ้าเรียนชั้นอุดมศึกษาอยู่เป็นเวลา 4 ปี มหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้บังเกิดขึ้น และพระบิดาของข้าพเจ้าจึงได้เสด็จกลับมาจากเกาะปีนัง
เมื่อทรงทราบว่าข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่ในคณะอักษรศาสตร์ จึงโปรดให้ข้าพเจ้าเป็นเลขานุการในการเขียนประวัติของเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ เจ้าจอมรุ่นแรกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รู้สึกว่าท่านจะโปรดข้าพเจ้าพอใช้ เพราะได้ทรงสั่งสอนในวิชาการเขียนหนังสือไว้หลายอย่าง ครั้งหนึ่งได้ตรัสสอนว่า “ในการเขียนหนังสือนั้น เมื่อนึกอะไรได้อย่าเขียนลงไปทันที แต่ให้นึกต่อไป เพราะต่อจากนั้นจะมีความคิดหลายอย่างที่นึกขึ้นได้ติดตามมา” ครั้งหนึ่งเมื่อข้าพเจ้ากำลังนั่งอยู่กับมารดาต่อพระพักตร์มีรับสั่งกับมารดาข้าพเจ้าว่า “หม่อมเจิม ฉันเสียดายที่ลูกคนนี้เกิดมาช้าไป ถ้าฉันยังอยู่กระทรวงมหาดไทยฉันจะฝึกเอง” มารดาข้าพเจ้าก็ยิ้มแต่มิได้กราบทูลตอบว่าอย่างไร ข้าพเจ้าเองแอบนึกดีใจอยู่ในใจว่าเกิดมาช้าไปเพราะไม่ต้องทำราชการในกระทรวงมหาดไทยอยากเป็นครูมากกว่า อีกครั้งหนึ่งก่อนสิ้นพระชนม์ไม่นานนัก ได้รับสั่งกับข้าพเจ้าว่า “ตาปาน (ชื่อเล่นของข้าพเจ้า) เธออายุ 40 ก็คงจะได้เป็นปราชญ์ของเมืองไทยดอก ตอนนี้กำลังคลำหาทางไม่ถูกไปก่อน” พระบิดาของข้าพเจ้าทรงมีพระนามในการทรงดูความสามารถของคนเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะได้ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยอยู่เป็นเวลาถึง 23 ปี ระหว่างประเทศมหาอำนาจตะวันตกกำลังแสวงหาอาณานิคมในภาคอาเชียอาคเนย์ตลอดรัชกาลที่ 5 และต้นรัชกาลที่ 6 ได้ทรงทำงานใหญ่ต่างๆ มามาก ต่อมาเมื่อข้าพเจ้ามีผู้รู้จักมากขึ้นแล้วทางด้านวิชาการ พี่สาวของข้าพเจ้าองค์หนึ่งซึ่งทรงมีชื่อเสียงมากเช่นเดียวกัน คือหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ได้รับสั่งว่า ข้าพเจ้ามาสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์และโบราณคดีของประเทศไทยได้อย่างไร เพราะข้าพเจ้าซึ่งเป็นลูกชุดเล็กไม่เคยได้รับการเลี้ยงดูหรืออยู่อย่างใกล้ชิดเสด็จพ่อเลย หลังจากนั้นท่านจึงสรุปว่า “เรื่องนี้ถ้าเราไม่เชื่อเลือดแล้วจะเชื่ออะไร”
ใน พ.ศ.2486 ข้าพเจ้าเรียนสำเร็จได้ปริญญาตรีจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเรียนวิชาเอกทางด้านประวัติศาสตร์และภาษาอังกฤษ ข้าพเจ้ายังจำได้ดีว่าพวกเราในปีนั้นได้รับปริญญาโดยไม่ต้องมีการสอบ ทั้งนี้เพราะทหารญี่ปุ่นกำลังครอบครองประเทศไทยอยู่ในขณะนั้น แต่มิได้ทำความเสียหายมากมายให้แก่ประเทศไทย หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ศึกษาต่ออีก 2 ปี สำหรับอนุปริญญาทางด้านประโยคครูมัธยม ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปกติหลักสูตรนี้จะศึกษาเพียง 1 ปีเท่านั้น แต่เนื่องจากในเวลานั้นมีสงคราม จึงต้องขยายเป็น 2 ปี
หลังจากข้าพเจ้าจบการศึกษาแล้วจึงได้เข้าทำงานในกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ใน พ.ศ.2489 ด้วยความกรุณาของ ฯพณฯ ม.ล. ปิ่น มาลากุล ซึ่งกำลังดำรงตำแหน่งอธิบดีอยู่ในขณะนั้นแต่หลังจากนั้นพี่สาวของข้าพเจ้า คือหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ได้ประทานหนังสือของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทั้งหมดแก่ชาติ และรัฐบาลไทยก็ได้สร้างอาคารโดยเฉพาะเพื่อเก็บหนังสือเหล่านั้นและเรียกชื่อว่า “หอสมุดดำรงราชานุภาพ” ข้าพเจ้าจึงได้ย้ายไปทำงานเป็นหัวหน้าแผนกหอสมุดดำรงราชานุภาพในกรมศิลปากร ใน พ.ศ. 2490
ใน พ.ศ. 2491 ข้าพเจ้าได้รับทุนจากบริติช เคาซิลให้ไปดูงานที่ประเทศอังกฤษ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับพิพิธภัณฑสถาน และกิจการทางด้านโบราณคดี เป็นเวลา 3 เดือนข้าพเจ้าจึงได้ตกลงกับมารดาและพี่ๆของข้าพเจ้าว่าจะไปศึกษาต่อที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีทางเอเชียอาคเนย์ ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องขอขอบพระทัยพี่ชายของข้าพเจ้าคนหนึ่งคือ หม่อมเจ้านิพัทธ์พันธุดิศ ดิศกุล แม้ว่าท่านจะสำเร็จมาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ แต่ก็ได้ทรงแนะนำกับข้าพเจ้าว่าสมควรที่จะไปเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศส เพราะจะได้รู้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส ถ้าไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษก็จะรู้แต่ภาษาอังกฤษเพียงภาษาเดียว การเดินทางไปประเทศอังกฤษใน พ.ศ. 2491ซึ่งเป็นเวลาเสร็จจากสงครามใหม่ๆต้องไปเครื่องบินทะเลจากท่าเรือคลองเตย และใช้เวลาร่วม 4 วัน ในการเดินทางเพราะต้องค้างคืนทุกแห่งก่อนที่จะถึงประเทศอังกฤษ
ข้าพเจ้าได้ติดต่อกับศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดย์ (George Coedes ) นักอ่านจารึกภาษาตะวันออกที่มีชื่อเสียงชาวฝรั่งเศส และได้เคยเข้ามาทำงานในประเทศไทยอยู่ถึง 12 ปี ภายใต้สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพและกำลังอยู่ในกรุงปารีสขณะนั้น ให้ช่วยหาที่เรียนให้ข้าพเจ้า ท่านได้แนะนำให้ข้าพเจ้าไปเรียนต่อโรงเรียนลูฟร์ (Ecole Du Louvre) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ที่กรุงปารีส ดังนั้น หลังจากข้าพเจ้าเสร็จสิ้นจากการดูงานในประเทศอังกฤษแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ข้ามจากกรุงลอนดอนมายังกรุงปารีส และเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนลูฟร์ ภายใต้ศาสตราจารย์ ฟิลิปป์ สแตร์น (Philippe Stern) นักประวัติศาสตร์ศิลปะชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียง
และเป็นท่านแรกที่คิดแก้กำหนดอายุของศิลปะขอม (เขมรโบราณ) ให้ถูกต้องตอนนี้ใคร่ขอกล่าวสักเล็กน้อยว่า ปีแรกที่ข้าพเจ้าเข้าศึกษาในโรงเรียนลูฟร์ภาษาฝรั่งเศสก็ยังไม่สู้ดีนักแต่ก็ต้องเข้าไปเรียน เพราะในปีนั้นข้าพเจ้าต้องใช้ทุนของตนเอง ในปีแรกนี้ข้าพเจ้าฟังศาสตราจารย์สแตร์นไม่รู้เรื่องเลย แต่ก็จำต้องทน มองไปข้างๆเห็นผู้ชายชาวฝรั่งเศสอีกท่านหนึ่งมาเรียนเช่นเดียวกัน และท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใสดี จึงออกปากขอยืมเล็กเซอร์ของเขาไปคัดลอก ท่านผู้นั้นก็ยินดีให้ยืม แต่บอกว่าเขาขอไปคัดลอกเสียก่อน เพราะลายมือเขาอ่านยาก ท่านผู้นั้นจะเป็นใครเล่า นอกจากศาสตราจารย์ชอง บวสเซอลีเย่ร์ (Jean Boisselier) ซึ่งปัจจุบันนี้ก็เป็นนักปราชญ์ทางด้านศิลปะตะวันออกที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของฝรั่งเศส และเราทั้งสองก็เป็นเพื่อนกันมาตราบจนกระทั่งปัจจุบันนี้
ข้าพเจ้าใคร่ขอเพิ่มเติมไว้สักเล็กน้อยตอนนี้ว่า ในปีแรกนี้ข้าพเจ้าต้องทำงานหนักมาก เพราะพยายามอ่านหนังสือภาษาฝรั่งเศสเกี่ยวกับศิลปะตะวันออกหาศัพท์ทุกตัวที่ไม่ทราบและพยายามท่องจำไว้ ไม่ช้าข้าพเจ้าก็อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ศิลปะเล่มอื่นๆ ได้เพราะศัพท์มักจะใช้ซ้ำๆ กันอยู่เสมอ ในปีการศึกษาที่ 2 ข้าพเจ้าสอบชิงทุน ก.พ. ได้จากรัฐบาลไทย จึงทำให้ข้าพเจ้าคล่องตัวมากขึ้นในการเงิน เพราะไม่ต้องใช้ทุนของตนเองดังแต่ก่อน และในปีที่ 2 นี้ข้าพเจ้าสามารถสอบได้คะแนนดีมากเกี่ยวกับศิลปะอินเดียในปีที่ 3 ถึงขนาดนักเรียนชาวฝรั่งเศสเองต้องมาขอยืมสมุดจดโน๊ตของข้าพเจ้าไปคัดลอก
หลังจากข้าพเจ้าจบหลักสูตร 3 ปีของโรงเรียนลูฟร์และได้รับประกาศนียบัตรแล้ว ข้าพเจ้าก็กลับไปยังกรุงลอนดอน และได้รับอนุญาตให้ทำปริญญาเอกในสถาบันโบราณคดี (Institute Of Archaeology) มหาวิทยาลัยลอนดอน ใน พ.ศ. 2494 อย่างไรก็ดี น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าไม่อาจจะเข้ากับศาสตราจารย์ผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์ของข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าจึงเดินทางกลับมายังประเทศไทยใน พ.ศ. 2496 รวมเวลาที่ได้ศึกษาอยู่ในต่างประเทศ 5 ปีกว่า
เมื่อกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว ข้าพเจ้าก็คงทำงานในกรมศิลปากรต่อไป แต่ได้ย้ายมาทำงานเป็นภัณฑารักษ์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ซึ่งขณะนั้นยังรวมอยู่ในกองโบราณคดี ณ ที่นั่นข้าพเจ้าได้ช่วยจัดตั้งการสอนทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีขึ้นในโรงเรียนศิลปศึกษาของกรมศิลปากร โดยมีสหายของข้าพเจ้าผู้ล่วงลับไปแล้วคือ ศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี ผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิชาก่อนประวัติศาสตร์ และทำงานอยู่ในกองโบราณคดีเช่นเดียวกัน เป็นผู้สอนทางด้านโบราณคดี สำหรับทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะนั้นข้าพเจ้าได้วางหลักสูตรเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าเคยเล่าเรียนมาที่โรงเรียนลูฟร์นักศึกษาต้องเรียนประวัติศาสตร์โดยทั่วไปของประเทศไทยเช่นเดียวกับของประเทศใกล้เคียงคือ อินเดีย ศรีลังกา อินโดนีเซีย และกัมพูชา ในชั้นต้นข้าพเจ้าต้องสอนทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะของประเทศจีนและญี่ปุ่นด้วย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นักศึกษาไทยได้เคยเรียนวิชาเหล่านี้ ข้าพเจ้าจึงต้องเตรียมตำราเป็นภาษาไทยไว้ให้ด้วยตำราส่วนใหญ่ได้แปลมาจากภาษาฝรั่งเศส การศึกษาวิชาเหล่านี้ต่อมาได้ขยายไปจนถึงการจัดตั้งคณะโบราณคดีขึ้นในมหาวิทยาลัยศิลปากร
ขณะที่ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งภัณฑารักษ์อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตั้งแต่ พ.ศ. 2496 จนถึง พ.ศ. 2507 นอกจากการสอนแล้ว ข้าพเจ้ายังทำการค้นคว้าเกี่ยวกับศิลปะไทยสมัยต่างๆ รวมทั้งเขียนหนังสือนำชมพิพิธภัณฑ สถานแห่งชาติหลายแห่ง ทั้งในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และนำบุคคลสำคัญโดยเฉพาะประมุขของชาติต่างๆ เมื่อมาเยี่ยมประเทศไทย โดยนำไปชมพิพิธภัณฑสถานและโบราณสถานหลายแห่งภายในประเทศไทย
ขณะที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อแรกเข้าทำงานเป็นเพียงข้าราชการชั้นตรี แต่เมื่อใดที่มีชาวต่างประเทศมาเยือนเมืองไทย ผู้ใหญ่มักให้ข้าพเจ้าเป็นคนชมสถานที่ต่างๆ เสมอ เพราะข้าพเจ้าสามารถพูดได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส พวกพี่ๆ ข้าพเจ้ายังพูดเองเลยว่า “ตาปานนี่ โชคดีจัง รู้จักประมุขของประเทศต่างๆ ที่มาเยือนประเทศไทยหมด” เมื่อแขกบ้านแขกเมืองมา บรรดาข้าราชการของไทยจะต้องยืนเรียงลำดับตามยศตั้งแต่ชั้นพิเศษ ชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี ไล่ลงมาตามลำดับชั้น ข้าพเจ้าเป็นข้าราชการชั้นตรีต้องไปยืนอยู่แถวสุดท้ายผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นแล้วคงอึดอัดมาก เข้ามาบอกข้าพเจ้าว่า “ฝ่าพระบาทขึ้นไปรออยู่ข้างบนเถอะ” มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้านำท่านอูนุ นายกรัฐมนตรีพม่า ไปชมพระราชวังบางประอิน ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นเพียงข้าราชการชั้นโท แล้วแต่งเครื่องแบบด้วย ในครั้งนั้นมีข้าราชการชั้นเอกคนหนึ่งนำน้ำมาเสริฟ์ให้กับท่านอูนุ รัฐมนตรีพม่าท่านหนึ่งก็บอกให้ข้าราชการชั้นเอกคนนั้นนำน้ำมาเสริฟ์ข้าพเจ้าด้วย เพราะเป็นคนอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังอยู่ตลอดเวลา ข้าราชการชั้นเอกคนนั้นรู้สึกค่อนข้างโมโหมากที่ต้องนำน้ำมาเสิร์ฟให้กับข้าราชการที่ชั้นยศต่ำกว่าเพราะไม่รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นใคร ต่อมาภายหลังข้าพเจ้าได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นข้าราชการชั้นเอก หลายคนที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องด้วยดูจะสบายใจหายอึดอัดไปมากทีเดียว
ข้าพเจ้าได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์และคณบดีแห่งคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ใน พ.ศ. 2507 และดำรงตำแหน่งอยู่เป็นเวลาถึง 11 ปี นอกจากทำงานทางด้านธุรการแล้ว ข้าพเจ้ายังต้องทำการสอนและค้นคว้าเช่นเดียวกับการเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้งเพื่อเข้าร่วมประชุมและเสนอบทความทางด้านวัฒนธรรม โบราณคดี และประวัติศาสตร์ศิลปะของไทย ในระยะนั้นการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะได้ขยายไปยังมหาวิทยาลัยหลายแห่งในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าจึงได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษไปสอนตามสถานศึกษาเหล่านั้นด้วย
ข้าพเจ้าได้ดำรงตำแหน่งคณบดีบัณฑิตวิทยาลัยแห่งมหาวิทยาลัยศิลปากรตั้งแต่ พ.ศ. 2519 ถึง พ.ศ. 2524 และหลังจากนั้นก็ได้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีตั้งแต่ พ.ศ.2525 จนถึง พ.ศ. 2529
ข้าพเจ้าโชคดีที่มีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศบ่อยมาก จนบางคนพูดว่า ข้าพเจ้าอยู่เมืองนอกมากกว่าเมืองไทยเสียอีก ทำไมไม่ให้คนอื่นไปบ้าง ความจริงแล้วต่างประเทศเชิญให้ข้าพเจ้าไปบรรยาย หรือมีการประชุมเรื่องราวเกี่ยวกับโบราณคดีก็จะเชิญข้าพเจ้า โดยมีการระบุชื่อมาด้วยทุกครั้งคือเป็นการเชิญในนามของข้าพเจ้า ไม่ได้เชิญตัวแทนในนามของกรมหรือมหาวิทยาลัยศิลปากร
ข้าพเจ้าจะให้คนอื่นไปแทนได้อย่างไร จึงอยากทำความเข้าใจไว้ ณ ที่นี้ด้วย ทั้งนี้ไม่เพียงแต่การเชิญให้ไปบรรยายช่วงสั้นๆเท่านั้นบางครั้งข้าพเจ้าได้รับเชิญจากรัฐบาลต่างประเทศให้ไปสอนในมหาวิทยาลัยต่างๆ ครั้งละหลายๆเดือน โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา เพื่อสอนวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง 2 ครั้ง แรกไปสอนที่มหาวิทยาลัยคอร์แนลซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากในสหรัฐอเมริกาและมหาวิทยาลัยโอไฮโอ อยู่นานถึง 6 เดือน ครั้งที่สองได้รับเชิญให้ไปสอนทางด้านตะวันตกของสหรัฐฯ คือที่มหาวิทยาลัย อิสเทิร์นวอชิงตัน และมหาวิทยาลัยโอเรกอนอีก 6 เดือน เช่นกัน ส่วนการบรรยายหรือการประชุมย่อยๆ ครั้งละ 3 วัน 5 วันนั้น ข้าพเจ้าได้รับเชิญบ่อยมาก ทั้งในสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรป
หลังจากข้าพเจ้าเกษียณอายุจากมหาวิทยาลัยศิลปากรแล้วข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลไทยให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์สปาฟา (SPAFA) คือ ศูนย์ทางด้านโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งซีมีโอ (SEAMEO) คือองค์การของรัฐมนตรีศึกษาธิการแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นระยะเวลา 2 สมัย คือระหว่าง พ.ศ. 2530 ถึง พ.ศ. 2535 ศูนย์สปาฟามีสมาชิก 6 ประเทศคือ ประเทศบูรไนดารุสซาลาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงค์โปร์ และประเทศไทย ด้วยความช่วยเหลือจากประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และประเทศญี่ปุ่น ฯลฯ ศูนย์สปาฟาจึงจัดหลักสูตรสั้นๆ รวมทั้งการสัมมนาเพื่อเผยแพร่เทคนิคใหม่ๆ รวมทั้งความรู้เกี่ยวกับวิชาโบราณคดีและวิจิตรศิลป์แก่สมาชิก ปัจจุบันประเทศเวียดนาม กัมพูชาและประเทศลาว ได้เข้าเป็นสมาชิกของศูนย์สปาฟาแล้ว หลังจากที่ข้าพเจ้าพ้นจากการเป็นผู้อำนวยการศูนย์สปาฟาแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของกรมศิลปากร ทางด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถาน
แม้ข้าพเจ้าได้เกษียณอายุมาแล้วก็ตาม ในปัจจุบันข้าพเจ้าก็ยังสอนวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะของประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงอยู่ที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และเป็นกรรมการของคณะกรรมการต่างๆ ทางด้านวัฒนธรรมที่รัฐบาลไทยและกรมศิลปากรได้จัดตั้งขึ้น เช่น เป็นประธานของคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ในสำนักนายกรัฐมนตรี กรรมการในคณะกรรมการเกี่ยวกับโบราณสถานของชาติ ฯลฯ ข้าพเจ้ายังได้รับแต่งตั้งเป็นนายกสมาคมในประเทศไทย เช่น ที่ สยามสมาคม ซึ่งปัจจุบันข้าพเจ้าได้ดำรงตำแหน่งรองนายกกิตติมศักดิ์ และมูลนิธิเจมส์ ทอมส์สัน ซึ่งปัจจุบัน ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งประธานอยู่
ถ้าหากจะมีผู้ถามข้าพเจ้าว่าในชีวิตของข้าพเจ้าๆภูมิใจในผลงานอะไรมากที่สุด ข้าพเจ้าก็ใคร่ขอตอบว่ามีอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรกก็คือ การสอนวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าคิดว่าเป็นคนแรกที่มาเปิดสอนวิชาดังกล่าวในประเทศไทย เรื่องที่สองคือ ประเทศไทยสามารถทวงคืนทับหลังศิลารูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่ประสาทพนมรุ้ง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ กลับคืนมาได้โดยข้าพเจ้าเป็นคนแรกที่ได้ไปพบทับหลังชิ้นนี้ในสถาบันศิลปะแห่งเมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้รายงานให้กรมศิลปากรทราบ ภายหลังการติดต่ออยู่เป็นเวลานาน ซึ่งข้าพเจ้ามีส่วนร่วมด้วยประเทศไทยก็สามารถได้รับทับหลังชิ้นนี้กลับคืนมาได้และปัจจุบันก็ได้นำไปติดตั้งไว้ยังสถานที่เดิม คือประตูด้านหน้าทางทิศตะวันออกของปราสาทพนมรุ้ง ซึ่งสร้างขึ้นในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 17
ในครั้งนั้นมีการนำโบราณวัตถุประเทศไทยไปแสดงที่สหรัฐอเมริกาเป็นครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2515 ข้าพเจ้าได้รับเชิญไปบรรยายตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ชาวอเมริกาได้รู้จักศิลปะไทย ข้าพเจ้าไปบรรยายที่สถาบันศิลปะแห่งเมืองชิคาโก พอบรรยายเสร็จมีเวลาเหลือเจ้าหน้าที่สถาบันศิลปะแห่งนั้นได้เข้ามาถามว่าอยากดูโบราณวัตถุเอเชียของเราไหม ข้าพเจ้าตอบไปว่าเอาสิ เขาก็พาไปดู ก็พบทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ซึ่งคนไทยหลายคนที่ไปที่นั่นเคยเห็นมาแล้ว แต่ไม่มีใครทราบว่ามาจากปราสาทหินพนมรุ้ง ในประเทศไทย เมื่อข้าพเจ้าเห็นเข้า ข้าพเจ้าทราบทันทีว่ามาจากปราสาทหินพนมรุ้ง ที่สามารถบอกได้เพราะข้าพเจ้าเคยผลิตหนังสือกรมศิลปากร ซึ่งมีการตีพิมพ์ภาพทับหลังชิ้นนี้ในหนังสือมาก่อน และข้าพเจ้าเป็นคนตรวจปรู๊ฟเอง จึงจำได้อย่างแม่นยำ เมื่อกลับมาถึงประเทศไทย ข้าพเจ้าจึงทำหนังสือรายงานไปที่อธิบดีกรมศิลปากรในขณะนั้นเพื่อขอทับหลังคืน ซึ่งต้องใช้เวลาติดต่อนานถึงกว่า 10 ปี จึงได้กลับคืนมา
ตอนนั้นปรากฎว่ากรมศิลปากรได้มีจดหมายไปถึงสถาบันแห่งศิลปะแห่งเมืองชิคาโก ทางสถาบันศิลปะแห่งเมืองชิคาโกตอบกลับมาว่า ทับหลังชิ้นนี้เป็นของเอกชนแห่งหนึ่งให้ยืมมา ทางกรมศิลปากรจึงมีหนังสือไปถึงเอกชนผู้นั้น แต่เขาไม่ตอบมาเรื่องจึงเงียบอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งข้าพเจ้าไปประเทศอินเดีย เพื่อบรรยายเรื่องเมืองศรีเทพ จึงได้เล่าเรื่องโบราณวัตถุของไทยที่ถูกขโมยไปด้วย ในวันนั้นมีภัณฑารักษ์ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่นิวเดลี เป็นประธานในการบรรยายครั้งนั้น ได้พูดกับข้าพเจ้าว่า ทราบหรือไม่ว่าพระอิศวรฟ้อนรำของอินเดียที่หายไปได้คืนมาแล้ว ข้าพเจ้าจึงถามว่าใช้วิธีการอย่างไร เขาบอกว่า “พับลิคโอพิเนียน” เมื่อเดินทางกลับมาประเทศไทยข้าพเจ้าจึงได้เขียนจดหมายถึงอธิการบดีกรมศิลปากรอีกครั้ง ซึ่งในขณะนั้นคือคุณทวีศักดิ์ เสนาณรงค์ ซึ่งเพิ่งเกษียณอายุราชการจากปลัดกระทรวงศึกษาธิการไปเมื่อเร็วๆ นี้ ข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องนี้ให้ท่านอธิบดีกรมศิลปากรฟัง และเน้นว่าอย่าให้สัมภาษณ์เฉพาะหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ต้องให้สัมภาษณ์หนังสืออเมริกันที่สำคัญๆ เช่น นิวยอร์กไทม์ และหนังสือไทม์วีกลี่ ฯลฯ ด้วย ท่านอธิบดีก็ทำตาม ข่าวดังกล่าวจึงทำให้แพร่สะพัดไปทั่วอเมริกา ในครั้งนั้นต้องขอชมเชยคนไทยในเมืองชิคาโกที่เห็นความสำคัญของสมบัติแห่งชาติ ได้รวมตัวกันประท้วงเดินขบวนที่หน้าพิพิธภัณฑ์ศิลปะดังกล่าว ข้าพเจ้าเองได้เป็นตัวแทนของประเทศไทยเดินทางไปเจรจา จนท้ายสุดทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ คืนกลับมายังประเทศไทยในที่สุด
ในปัจจุบันนี้มีปัญหาหลายประการในวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ โบราณคดี และประวัติศาสตร์ของไทยมีทฤษฎีใหม่หลายทฤษฎีที่พยายามจะลบล้างทฤษฎีเก่า ในข้อนี้ข้าพเจ้าเห็นว่านักศึกษาควรจะมีความคิดเปิดกว้างที่จะคิดว่าการกระทำดังกล่าวเป็นทางที่จะทำให้ความรู้ เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น แม้ว่ามีบางท่านเคยกล่าวว่า เป็นการกระทำที่ถูกต้อง แต่ในขณะเดียวกันจะเป็นการสาดโคลนเข้าใส่กันก็ตาม ข้อนี้ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะตรวจดูรากฐานของทฤษฎีใหม่ว่ามีเหตุผลมั่นคงและน่าเชื่อถือหรือไม่ ถ้าเป็นจริงและน่าเชื่อถือมากกว่าทฤษฎีเก่า ก็สมควรที่เราจะเปลี่ยนความคิดไปยึดถือทฤษฎีใหม่ อย่างไรก็ดี ท่านผู้ที่ตั้งทฤษฎีเก่าขึ้นมาก็เป็นผู้บุกเบิกให้เราเดินทางไปถึงยังทฤษฎีใหม่ได้ เหตุนั้นจึงสมควรพูดถึงหรือลบล้างด้วยความเคารพ มิใช่พูดจาหรือเขียนขึ้นด้วยความดูถูกเหยียดหยาม การศึกษาวิชาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มิใช่การศึกษาอย่างเข้มงวดแบบวิทยาศาสตร์ที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นอย่างแท้จริงได้เสียก่อน ในวิชาสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์นั้น อะไรที่เป็นสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ในวันนี้ อาจกลายเป็นความจริงในวันพรุ่งนี้ก็ได้
ยังมีอีกข้อหนึ่งที่ข้าพเจ้าอยากกล่าวเป็นข้อสุดท้าย คือ ข้าพเจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้เคราะห์ดีที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาในสีงที่ตนสนใจโดยไม่ต้องเบี่ยงเบนไปในทางอื่น ด้วยเหตุนั้น จึงใคร่ขอแนะนำให้ท่านผู้ปกครองบุตรหลานทั้งหลายอย่าได้ฝืนใจผู้สืบตระกูลของตนว่าต้องศึกษาวิชานี้ หน้าที่ของผู้ปกครองหรือพ่อแม่ก็คือพยายามส่งเสริมให้บุตรหลานได้เล่าเรียนวิชาที่เขาต้องการหรือสนใจไปให้สูงที่สุดเท่าที่สามารถจะกระทำได้ ถ้าเป็นเช่นนึ้ ข้าพเจ้าคิดว่าหน้าที่ของท่านบรรลุถึงความอุดมสมบูรณ์แล้วและก็อาจคอยดูบุตรหลานของท่านต่อไปได้ด้วยความชื่นใจ
- 1. หม่อมราชวงศ์ (หญิง) สุภาณี สมรสกับนายพรวุฒิ สารสิน มีบุตรธิดา 2 คน คือ เด็กหญิงแพร และเด็กชายภูมิ
- 2. พันตรี หม่อมราชวงศ์ (ชาย) ดำรงเดช สมรสกับนางสาวจุไรรัตน์ ภิรมย์ภักดี มีบุตรหญิงหนึ่ง ชายสอง (แฝดสามคน) ชื่อหม่อมหลวงจุไรมาศ ราชดำรง และพงศ์พัฒนเดช ตามลำดับ
- 3. หม่อมราชวงศ์ (หญิง) อรอนงค์ สมรสกับนาย โรจนฤทธิ์ เทพาคำ มีธิดา 2 คนคือ เด็กหญิงภัณฑิลา และเด็กหญิงชุดารี
- 4. หม่อมราชวงศ์ (หญิง) อภิรดี สมรสกับพันตรีศยาม จันทรวิโรจน์ มีบุตร 1 คน คือเด็กชายศุภพรรษ
ข้าพเจ้าได้รับรางวัลทางด้านวัฒนธรรมจากเมือง ฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อมีการมอบรางวัลเป็นครั้งที่ 5 ใน พ.ศ. 2537 รางวัลที่ข้าพเจ้าได้รับนี้เป็นรางวัลใหญ่มอบให้ทุกปีแก่ผู้ที่ให้การเคารพนับถือระหว่างชาติ และได้ผลิตผลงานที่สำคัญทางด้านวัฒนธรรมและความรู้เกี่ยวกับทวีปเอเชีย รางวัลที่ได้รับนั้นเป็นจำนวนเงิน 5,000,000 เยน
ข้าพเจ้าได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดดังต่อไปนี้ คือ ปฐมจุลจอมเกล้า มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก และเหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลปัจจุบันชั้นที่ 3 นอกจากนี้ยังได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากต่างประเทศอีก เช่น จากประเทศฝรั่งเศสและประเทศเดนมาร์ก
ข้าพเจ้าได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักด์) จากมหาวิทยาลัย 3 แห่ง คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
หนังสือทางวิชาการที่ข้าพเจ้าแต่ง อาทิ เทวรูปสัมฤทธิ์สมัยสุโขทัย ศิลปะอินเดีย ศิลปะลังกาชวา ขอม เที่ยวเมืองลังกา ศิลปะอินโดนีเชียสมัยโบราณ ประติมากรรมขอม ศาสนาพราหมณ์ในอาณาจักรขอม ศิลปะในประเทศไทย (พิมพ์ครั้งที่ 10) Art in Thailand, A Brief History (พิมพ์ครั้งที่ 7) Thailand ในชุด Archaeologia Mundi ซึ่งตีพิมพ์ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เป็นภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน