การศึกษารูปแบบพิธีกรรมการปลงศพของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ มีจุดม่งหมาย หลักเพื่อการนำเสนอรูปแบบพิธีกรรมปลงศพ สำหรับช่วยตีความหลักฐานทางโบราณคดีโดย ผ่านการศึกษาโครงกระดูกมนุษย์ด้วยวิธีการทางมานุษยวิยากายภาพ แล้วนำผลการศึกษาจาก ทั้งสองส่วนนั้นมาแปลความรูปแบบการจัดระเบียบสังคมในอดีตของแหล่งโบราณคดีค่ายประตู ผา อย่างน้อยที่สุดเมื่อ 2,500 ปีมาแล้วด้วยแนวคิดทางสังคมวิทยา มานุษยวิทยาร่วมกับแนวคิด ทางโบราณคดีในการตีความ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์จำนวน 3,780 ชิ้นจากหลุมขุดค้นที่อยู่ ในสภาพถูกรบกวนและโครงกระดูกมนุษย์จำนวน 6 โครง ในตำแหน่งเดิมก่อนการทับถม (in situ) รวมโครงกระดูกที่นับได้ต่ำสุด (Minimum Number of Individual) แบ่งตามชั้นวัฒน ธรรมที่ 1 จำนวน 23 โครง และชั้นวัฒนธรรมที่ 2 จำนวน 15 โครง และโบราณวัตถุประเภท ต่างๆในช่วงวัฒนธรรมหินใหม่ เป็นต้นมา ผลการศึกษา พบว่า 1.โครงกระดูกจากแหล่งโบราณคดีพบทุกเพศและช่วงอายุเมื่อตาย กลุ่มที่พบในจำนวนสูงสุดคือ โครงกระดูกในกลุ่มเด็กเล็กและกลุ่มที่พบจำนวนน้อยที่สุดคือโครงกระดูกผู้ชาย 2.รูปแบบพิธีกรรมปลงศพของแหล่งโบราณคดีประกอบด้วย 2 รูปแบบหลักๆ คือ การปลงศพ ครั้งแรก (Primary Burial) และ การปลงศพครั้งที่สอง (Secondary Burial) 2.1 การปลงศพครั้งแรก (Primary Burial) จำแนกเป็น 2 รูปแบบย่อย คือ วางศพนอนหงาย เหยียดยาว หันศีรษะไปทางทิศใต้ วางข้าวของเครื่องประกอบศพไว้ ณ ตำแหน่งต่างๆโดยไม่มี รูปแบบตายตัว แล้วจึงกลบหลุมฝังศพ ส่วนรูปแบบย่อยที่สองพบในกลุ่มโครงกระดูกที่มีผู้ใหญ่ ฝังร่วมอยู่ด้วย มีขั้นตอนดังนี้ (1) พันห่อศพให้นอนหงายเหยียดยาวด้วยเส้นใยที่ทอจากเปลือก ไม้บางชนิดโดยวางศีรษะหันไปทางทิศใต้ (2) พันทับอีกครั้งด้วยเครื่องจักสาน (เสื่อ?) อีก หลายๆชั้น (3) วางศพลงในหลุมที่ขุดขึ้นพร้อมกับข้าวของเครื่องประกอบศพ โดยวางซ้อนศพที่ ปฏิบัติในลักษณะเดียวกัน 3 โครง จากนั้นจึงสุมไฟที่บริเวณส่วนกลางลำตัวในขณะร่างกายศพ ยังสดอยู่พร้อมกันทีเดียวทั้งสามโครง (4) เมื่อเปลวไฟเผาไหม้โครงกระดูกไปในระดับหนึ่งจึงทำ การกลบหลุมฝังศพ 2.2 การปลงศพครั้งที่สอง (Secondary Burial) พบในกลุ่มโครงกระดูกหมายเลข 4 เป็นการ นำชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์เพียงบางชิ้นจากโครงกระดูกมากกว่า 1 โครงมาห่อรวมกันในผ้า ทอแล้วนำมาวางระหว่างแผ่นไม้สองแผ่น จากนั้นจึงเผาห่อกระดูกนั้นก่อนทำการฝังกลบ ทั้งสองรูปแบบสันนิษฐานว่านิยมประกอบพิธีกรรมปลงศพเป็นกลุ่มครอบครัวโดยฝังศพสมาชิก ในครอบครัวรวมกันทุกเพศและอายุเมื่อตาย 3.รูปแบบการจัดระเบียบสังคมของแหล่งโบราณคดีอยู่ในระดับชนเผ่า เนื่องจากหลักฐานทาง โบราณคดีที่ปรากฏในแต่ละโครงไม่พบว่ามีโครงกระดูกใดที่มีความแตกต่างทั้งในด้านปริมาณ และประเภทของโบราณวัตถุที่ชัดเจน เช่นที่พบในแหล่งโบราณคดีอื่นๆ ของประเทศไทย ซึ่ง สามารถจัดรูปแบบการจัดระเบียบสังคมในระดับที่สูงกว่านี้